- 1 1. Java คืออะไร? กรณีที่ต้องใช้ Java บน Ubuntu
- 2 2. ประเภทของ Java ที่เลือกใช้ได้บน Ubuntu (OpenJDK vs Oracle JDK)
- 3 3. เตรียมตัวก่อนติดตั้ง Java บน Ubuntu
- 4 4. วิธีติดตั้ง Java บน Ubuntu (พื้นฐาน)
- 5 5. วิธีตั้งค่า JAVA_HOME (Environment Variable)
- 6 6. วิธีจัดการและสลับหลายเวอร์ชันของ Java
- 7 7. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ (Error & Solution)
- 8 8. วิธีติดตั้ง Java ด้วย GUI (เหมาะกับมือใหม่)
- 9 9. การเตรียมสภาพแวดล้อมพัฒนา Java (Development Environment)
- 10 10. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- 10.1 Q1. ควรเลือก OpenJDK หรือ Oracle JDK?
- 10.2 Q2. จะติดตั้ง Java เวอร์ชันล่าสุดบน Ubuntu ได้อย่างไร?
- 10.3 Q3. ต้องตั้ง JAVA_HOME เสมอไหม?
- 10.4 Q4. จะถอนการติดตั้ง Java ได้อย่างไร?
- 10.5 Q5. เปลี่ยนเวอร์ชัน Java แล้วยังไม่เปลี่ยนจริง ต้องทำอย่างไร?
- 10.6 Q6. ติดตั้งด้วย GUI หรือ Terminal ดีกว่า?
- 10.7 สรุป: หากมีปัญหา ให้ย้อนกลับมาดูบทความนี้ได้เลย
1. Java คืออะไร? กรณีที่ต้องใช้ Java บน Ubuntu
Java เป็นภาษาโปรแกรมแบบไหน?
Java (จาวา) เป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก จุดเด่นคือแนวคิด “เขียนครั้งเดียว ใช้งานได้ทุกที่ (Write Once, Run Anywhere)” จึงสามารถรันแอปพลิเคชันได้โดยไม่ขึ้นกับ OS หรืออุปกรณ์ ถือเป็นจุดแข็งสำคัญของภาษา Java
Java ถูกใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันเดสก์ท็อป, แอปพลิเคชันเว็บ, แอปบนมือถือ (โดยเฉพาะสำหรับ Android) และยังนิยมในระบบงานขนาดใหญ่หรือระบบการเงิน เป็นหนึ่งในภาษาโปรแกรมที่ยังคงถูกใช้จริงอย่างต่อเนื่อง
บทบาทของ Java บน Ubuntu คืออะไร?
บน Ubuntu ซึ่งเป็นหนึ่งใน Linux OS Java ก็มีความสำคัญอย่างมาก โดยมีกรณีที่จำเป็นต้องใช้ Java ดังต่อไปนี้
1. การรันแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดย Java
ซอฟต์แวร์จำนวนมากถูกพัฒนาด้วย Java และจำเป็นต้องใช้ Java Runtime Environment (JRE) ในการรัน ตัวอย่างเช่น เครื่องมือพัฒนาอย่าง “Eclipse” หรือ “IntelliJ IDEA” และเครื่องมือจัดการฐานข้อมูลอย่าง “DBeaver” จะไม่สามารถใช้งานได้หากไม่มี Java
2. การเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับการพัฒนา Java
หากนักพัฒนาหรือผู้เรียนต้องการเรียนรู้ Java หรือพัฒนาแอปบน Ubuntu จำเป็นต้องติดตั้ง Java Development Kit (JDK) Ubuntu ได้รับความนิยมในฐานะสภาพแวดล้อมพัฒนา และเข้ากันได้ดีกับ Java จึงมีนักพัฒนาจำนวนมากเลือกใช้งานร่วมกัน
3. การใช้งานเซิร์ฟเวอร์แอปพลิเคชัน
Java ยังเป็นพื้นฐานของเฟรมเวิร์กเว็บเซิร์ฟเวอร์เช่น Tomcat และ Spring Boot เมื่อต้องรันเว็บแอปที่พัฒนาด้วย Java บน Ubuntu Server ก็จำเป็นต้องติดตั้ง Java เช่นกัน
สรุป: Ubuntu กับ Java เข้ากันได้ดีมาก
Ubuntu มีจุดเด่นที่เป็นโอเพ่นซอร์สและน้ำหนักเบา จึงเข้ากันได้ดีกับภาษาแบบข้ามแพลตฟอร์มอย่าง Java เมื่อติดตั้ง Java บน Ubuntu จะสามารถใช้งานได้ทั้งสำหรับรันแอป พัฒนาโปรแกรม และจัดการเซิร์ฟเวอร์
2. ประเภทของ Java ที่เลือกใช้ได้บน Ubuntu (OpenJDK vs Oracle JDK)
ทางเลือกของ Java ที่ใช้งานบน Ubuntu มีอะไรบ้าง?
บน Ubuntu มีสภาพแวดล้อม Java 2 ประเภทหลัก คือ OpenJDK (โอเพ่นเจดีเค) และ Oracle JDK (ออราเคิลเจดีเค)
ทั้งสองรองรับการรันและการพัฒนา Java ได้เหมือนกัน แต่มีความต่างที่แหล่งพัฒนา, เงื่อนไขไลเซนส์ และวิธีการแจกจ่าย ควรเลือก JDK ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
OpenJDK คืออะไร? (JDK มาตรฐานของ Ubuntu)
OpenJDK (Open Java Development Kit) คือการพัฒนา Java แบบโอเพ่นซอร์ส มีจุดเริ่มจาก Sun Microsystems (ปัจจุบันคือ Oracle) และยังพัฒนาต่อเนื่องในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส Ubuntu ใช้ OpenJDK เป็นมาตรฐานและสามารถติดตั้งได้ง่ายด้วยคำสั่ง apt
จุดเด่นหลักของ OpenJDK
- ฟรี 100% และใช้งานเชิงพาณิชย์ได้
- ติดตั้งได้ง่ายจาก Ubuntu official repository
- ได้รับอัปเดตความปลอดภัยสม่ำเสมอ
- เสถียร เหมาะกับการใช้ในองค์กร
ถ้าไม่มีความต้องการเฉพาะ OpenJDK ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป
Oracle JDK คืออะไร? (JDK พร้อมซัพพอร์ตจาก Oracle)
Oracle JDK เป็น JDK ที่ Oracle พัฒนาอย่างเป็นทางการ โดยมีการเพิ่มประสิทธิภาพและฟีเจอร์เฉพาะบางอย่างเข้าไปจาก OpenJDK
แต่ Oracle JDK มีไลเซนส์ที่ต่างออกไป การใช้งานเชิงพาณิชย์อาจต้องซื้อไลเซนส์ (สำหรับการเรียนรู้ส่วนบุคคลไม่มีปัญหา)
จุดเด่นหลักของ Oracle JDK
- ได้รับการซัพพอร์ตและอัปเดตโดย Oracle
- ต้องตรวจสอบไลเซนส์หากใช้งานเชิงพาณิชย์
- ได้รับแพตช์ความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว
- มีฟีเจอร์เสริมบางอย่างที่ไม่มีใน OpenJDK
แม้การติดตั้งบน Ubuntu จะยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งเองได้จากเว็บไซต์ทางการ
สรุปความต่างระหว่าง OpenJDK กับ Oracle JDK
หัวข้อเปรียบเทียบ | OpenJDK | Oracle JDK |
---|---|---|
ผู้พัฒนา | คอมมูนิตี้โอเพ่นซอร์ส | บริษัท Oracle |
ไลเซนส์ | GPL + Classpath Exception | Oracle Binary Code License (ต้องตรวจสอบถ้าใช้เชิงพาณิชย์) |
ค่าใช้จ่าย | ฟรี | อาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับเชิงพาณิชย์ |
กรณีใช้งาน | การพัฒนาทั่วไป, การเรียนรู้, เครื่องมือภายใน | บริการเชิงพาณิชย์, งานระบบขนาดใหญ่ |
วิธีติดตั้ง | ติดตั้งง่ายด้วย apt | ดาวน์โหลดและติดตั้งเอง |
สรุป: สำหรับผู้ใช้ Ubuntu ส่วนใหญ่แนะนำ OpenJDK
ถ้าไม่ต้องการฟีเจอร์หรือซัพพอร์ตเฉพาะ OpenJDK เพียงพอและรองรับเฟรมเวิร์ก/ไลบรารีส่วนใหญ่ได้อย่างดี
แต่หากจำเป็นต้องใช้บริการเชิงพาณิชย์หรืออยากได้ซัพพอร์ตทางการ ควรเลือก Oracle JDK เลือก JDK ให้เหมาะกับจุดประสงค์ใช้งาน
3. เตรียมตัวก่อนติดตั้ง Java บน Ubuntu
สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนติดตั้ง Java
แม้การติดตั้ง Java บน Ubuntu จะไม่ซับซ้อน แต่ควรเตรียมความพร้อมล่วงหน้า โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์อื่นๆ ไว้แล้ว ควรตรวจสอบตามขั้นตอนดังนี้
1. อัปเดตรายการแพ็กเกจให้ล่าสุด
Ubuntu ใช้ระบบ APT ในการจัดการซอฟต์แวร์ ถ้ารายการแพ็กเกจไม่อัปเดต อาจหา Java package ไม่เจอหรือเวอร์ชันเก่า ใช้คำสั่งนี้อัปเดตแพ็กเกจ:
sudo apt update
เพื่อให้ APT ดึงข้อมูลแพ็กเกจล่าสุดและติดตั้งได้อย่างถูกต้อง
2. ตรวจสอบว่ามีซอฟต์แวร์ที่อาจขัดแย้งกันหรือไม่
หากเคยติดตั้ง Java เก่าหรือ OpenJRE มาก่อน อาจเกิดปัญหาขัดแย้งกับ Java ใหม่ ใช้คำสั่งนี้เพื่อตรวจสอบ:
java -version
ถ้ามีเวอร์ชันแสดงอยู่ แปลว่ามี Java ติดตั้งไว้แล้ว ในกรณีนี้แนะนำให้ถอนการติดตั้งก่อน แล้วจึงติดตั้งใหม่เพื่อป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อม
3. ตรวจสอบว่ามีสิทธิ์ sudo
การติดตั้ง Java จำเป็นต้องมีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงระบบ (sudo) โดยปกติผู้ใช้ที่ติดตั้ง Ubuntu จะมีสิทธิ์นี้ หากไม่มีจะพบข้อความแสดงข้อผิดพลาด เช่น:
ผู้ใช้ 'yourname' ไม่มีในไฟล์ sudoers เหตุการณ์นี้จะถูกรายงาน
กรณีนี้ควรแจ้งผู้ดูแลระบบ หรือเข้าสู่ระบบด้วยบัญชีที่มีสิทธิ์ root
สรุป: หากเตรียมพร้อมดี จะติดตั้งได้โดยไม่มีปัญหา
แม้ขั้นตอนติดตั้ง Java จะง่าย แต่ถ้าอัปเดตแพ็กเกจและตรวจสอบสิ่งแวดล้อมล่วงหน้า จะช่วยลดปัญหาและความสับสนได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น
4. วิธีติดตั้ง Java บน Ubuntu (พื้นฐาน)
4.1 วิธีติดตั้ง OpenJDK ด้วย APT
ระบบจัดการซอฟต์แวร์ของ Ubuntu ใช้ APT (Advanced Package Tool) โดย OpenJDK มีอยู่ใน repository มาตรฐานของ Ubuntu สามารถติดตั้งด้วยคำสั่งต่อไปนี้
ติดตั้ง OpenJDK 11 (รุ่น LTS เสถียร)
sudo apt install openjdk-11-jdk
ติดตั้ง OpenJDK 17 (รุ่น LTS ใหม่กว่า)
sudo apt install openjdk-17-jdk
เลือกเลขเวอร์ชัน XX
ให้เหมาะกับที่ต้องการ เช่น 11 หรือ 17 ซึ่งเป็นรุ่นแนะนำในปี 2025 การใช้ APT ช่วยแก้ปัญหา dependency อัตโนมัติ มือใหม่ก็ใช้งานง่าย
4.2 วิธีตรวจสอบเวอร์ชัน Java
หลังติดตั้งแล้ว ควรตรวจสอบว่า Java ทำงานได้ปกติ โดยใช้คำสั่ง:
java -version
ตัวอย่างผลลัพธ์ (OpenJDK 17):
openjdk version "17.0.9" 2024-10-17
OpenJDK Runtime Environment (build 17.0.9+8-Ubuntu)
OpenJDK 64-Bit Server VM (build 17.0.9+8-Ubuntu, mixed mode, sharing)
หากแสดงข้อมูลเวอร์ชัน แปลว่าติดตั้งสำเร็จ
4.3 ข้อควรระวังหากมี Java หลายเวอร์ชัน
Ubuntu อนุญาตให้ติดตั้ง Java หลายเวอร์ชัน แต่จะใช้ได้ครั้งละเวอร์ชันหลักเท่านั้น หากมีหลายเวอร์ชัน สามารถสลับเวอร์ชันที่ใช้งานได้ด้วย:
sudo update-alternatives --config java
ระบบจะแสดงรายการ Java ที่ติดตั้งอยู่ เลือกหมายเลขที่ต้องการใช้งาน
สรุป: เริ่มจากติดตั้ง OpenJDK ก่อน
สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ติดตั้ง OpenJDK 11 หรือ 17 ด้วยคำสั่ง APT สะดวกและปลอดภัย
5. วิธีตั้งค่า JAVA_HOME (Environment Variable)
JAVA_HOME คืออะไร?
JAVA_HOME
คือ environment variable ที่ใช้ระบุ path ที่ติดตั้ง Java เพื่อให้แอปหรือเครื่องมือพัฒนา (เช่น Maven, Gradle) รู้จัก Java ที่ใช้งานจริง
หลังติดตั้ง Java ต้องตั้งค่านี้เอง (ระบบจะไม่ตั้งให้อัตโนมัติ)
วิธีค้นหา path ของ JAVA_HOME
ใช้คำสั่งนี้เพื่อดู path ที่ติดตั้ง Java ปัจจุบัน:
readlink -f $(which java)
ตัวอย่างผลลัพธ์:
/usr/lib/jvm/java-17-openjdk-amd64/bin/java
path สำหรับ JAVA_HOME คือ ส่วนที่ตัด bin/java
ทิ้ง เช่น /usr/lib/jvm/java-17-openjdk-amd64
ขั้นตอนการตั้งค่า JAVA_HOME
1. แก้ไขไฟล์ bashrc
nano ~/.bashrc
เพิ่มบรรทัดเหล่านี้ท้ายไฟล์ (แทนที่ path ตามที่ตรวจสอบข้างต้น):
export JAVA_HOME=/usr/lib/jvm/java-17-openjdk-amd64
export PATH=$JAVA_HOME/bin:$PATH
2. ให้ค่าที่ตั้งไว้มีผลทันที
source ~/.bashrc
ตรวจสอบว่า JAVA_HOME ตั้งค่าสำเร็จหรือไม่
echo $JAVA_HOME
ถ้าแสดง path ตามที่ตั้งไว้ แปลว่าตั้งค่าสำเร็จ
ข้อควรระวัง: หากใช้ JDK หลายเวอร์ชันต้องแก้ JAVA_HOME ให้ตรงกัน
เมื่อเปลี่ยนเวอร์ชัน Java ให้แก้ path ของ JAVA_HOME ด้วยเสมอ
สรุป: JAVA_HOME สำคัญสำหรับการพัฒนา
การตั้ง JAVA_HOME จะช่วยให้พัฒนา Java บน Ubuntu ได้ราบรื่น และป้องกันปัญหาในอนาคต
6. วิธีจัดการและสลับหลายเวอร์ชันของ Java
ทำไมต้องใช้ Java หลายเวอร์ชัน?
บางโปรเจกต์หรือแอปอาจรองรับเฉพาะเวอร์ชัน Java ที่ต่างกัน เช่น บางระบบใช้ Java 8 ขณะเดียวกันอีกงานอาจต้องใช้ Java 17 การมีหลายเวอร์ชันจะช่วยแก้ปัญหานี้
วิธีสลับเวอร์ชัน Java บน Ubuntu
ใช้คำสั่ง update-alternatives
ในการเลือกเวอร์ชันที่จะใช้งาน
ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้ง Java หลายเวอร์ชัน
sudo apt install openjdk-8-jdk
sudo apt install openjdk-17-jdk
ขั้นตอนที่ 2: แสดงรายการ Java ที่ติดตั้งและเลือกเวอร์ชันที่ต้องการ
sudo update-alternatives --config java
เลือกหมายเลขตามรายการที่ต้องการใช้งาน
สลับ javac
(คอมไพเลอร์ Java) ด้วย
sudo update-alternatives --config javac
เลือกเวอร์ชันให้ตรงกันทั้ง java และ javac
อย่าลืมเปลี่ยน JAVA_HOME ตามเวอร์ชันที่ใช้
เปลี่ยน JAVA_HOME ทุกครั้งที่สลับเวอร์ชัน Java ด้วย
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
- เปลี่ยน Java แล้ว IDE ไม่เปลี่ยน:
ตั้งค่า Java path ใน IDE ด้วย เช่น Eclipse หรือ IntelliJ IDEA - javac ไม่เปลี่ยนตาม java:
ใช้update-alternatives --config javac
อีกคำสั่ง
สรุป: จัดการหลายเวอร์ชันง่าย มีประโยชน์กับนักพัฒนาหลายโปรเจกต์
Ubuntu สามารถสลับเวอร์ชัน Java ได้ง่าย มีประโยชน์มากสำหรับนักพัฒนาที่ดูแลหลายระบบ
7. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ (Error & Solution)
Error 1: “Unable to locate package openjdk-xx-jdk”
สาเหตุ
- รายการแพ็กเกจไม่อัปเดต
- พิมพ์ชื่อแพ็กเกจผิด
- Ubuntu เวอร์ชันที่ใช้งานไม่มี Java package นั้น
วิธีแก้ไข
อัปเดตแพ็กเกจ:
sudo apt update
หากยังไม่เจอ ลองเช็คชื่อแพ็กเกจด้วย:
apt search openjdk
Error 2: “java: command not found”
สาเหตุ
- ยังไม่ได้ติดตั้ง Java
- PATH ไม่ถูกตั้งค่าถึง Java
วิธีแก้ไข
ติดตั้ง Java ด้วย:
sudo apt install default-jre
หรือระบุเวอร์ชัน:
sudo apt install openjdk-17-jdk
Error 3: JAVA_HOME ตั้งแล้วแต่ไม่ทำงาน
สาเหตุ
- ไม่ได้
source ~/.bashrc
หลังแก้ไข - ตั้ง path ผิด หรือพิมพ์ผิด
วิธีแก้ไข
- ตรวจสอบไฟล์อีกครั้ง:
nano ~/.bashrc
- บันทึกและอัปเดตค่า:
source ~/.bashrc
- เช็คค่า:
echo $JAVA_HOME
Error 4: ใช้ java ได้แต่ javac ไม่เจอ
สาเหตุ
- ติดตั้งแค่ JRE (ขาด JDK)
วิธีแก้ไข
sudo apt install openjdk-17-jdk
javac -version
Error 5: เปลี่ยนเวอร์ชันแล้วแต่ยังไม่เปลี่ยนจริง
สาเหตุ
- เปลี่ยนแค่ java แต่ยังไม่ได้เปลี่ยน javac
- JAVA_HOME ยังชี้ path เก่า
วิธีแก้ไข
sudo update-alternatives --config java
sudo update-alternatives --config javac
และเช็ค/แก้ไข JAVA_HOME ด้วย
สรุป: เจอ error อย่าตกใจ ค่อยๆ เช็คตามขั้นตอน
ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการตั้งค่าสิ่งแวดล้อมหรือพิมพ์ผิด อ่าน error อย่างใจเย็นแล้วแก้ตามตัวอย่างข้างต้น
8. วิธีติดตั้ง Java ด้วย GUI (เหมาะกับมือใหม่)
ไม่ถนัด Terminal ก็ใช้ได้
Ubuntu มีซอฟต์แวร์เซ็นเตอร์ (Ubuntu Software) ให้ติดตั้ง Java ด้วยเมาส์ได้โดยไม่ต้องใช้คำสั่ง
ขั้นตอนติดตั้ง Java ด้วย Ubuntu Software
ขั้นตอนที่ 1: เปิด Ubuntu Software
- คลิกที่ “Ubuntu Software” จากเมนูหรือแถบด้านข้าง
- คลิกไอคอนค้นหา (แว่นขยาย) ด้านบน
ขั้นตอนที่ 2: ค้นหา “OpenJDK”
พิมพ์ “openjdk” ในแถบค้นหา จะเห็น “OpenJDK Java Runtime” หรือ “OpenJDK Java Development Kit” ในผลลัพธ์
ขั้นตอนที่ 3: เลือกเวอร์ชันและติดตั้ง
- เลือกเวอร์ชันที่ต้องการ เช่น “OpenJDK 11 Java Development Kit”
- คลิก “ติดตั้ง (Install)”
- ใส่รหัสผ่านเพื่อยืนยัน
รอจนติดตั้งเสร็จ (ใช้เวลาประมาณ 1-3 นาที)
ตรวจสอบหลังติดตั้ง (GUI หรือ Terminal ก็ได้)
- เปิด Terminal แล้วพิมพ์
java -version
- หรือเปิดแอปที่ต้องใช้ Java (เช่น DBeaver หรือ Eclipse) เพื่อลองรัน
ข้อควรระวัง: ติดตั้งผ่าน GUI อาจเลือกเวอร์ชันและปรับแต่งได้น้อย
หากต้องการปรับแต่งหรือใช้งานหลายเวอร์ชัน แนะนำให้ใช้ Terminal
สรุป: มือใหม่ใช้ GUI ก็เพียงพอ
การติดตั้ง Java ด้วย GUI สะดวกสำหรับผู้เริ่มต้น เมื่อชำนาญแล้วค่อยลองใช้คำสั่ง Terminal เพื่อควบคุมละเอียดขึ้น
9. การเตรียมสภาพแวดล้อมพัฒนา Java (Development Environment)
เครื่องมือสำคัญที่ควรมีสำหรับพัฒนา Java
ประเภท | หน้าที่ |
---|---|
JDK (Java Development Kit) | พื้นฐานสำหรับพัฒนาและรัน Java |
ซอร์สโค้ดเอดิเตอร์/IDE | เครื่องมือเขียนโค้ด ช่วย auto-complete & debug |
Build Tool (Maven, Gradle) | จัดการ dependency และ automate build |
แนะนำ IDE สำหรับ Java ที่ใช้กับ Ubuntu ได้ดี
1. Eclipse
- IDE ยอดนิยมสำหรับ Java
- เสถียรและใช้งานได้หลากหลาย
- รองรับปลั๊กอินมากมาย
วิธีติดตั้ง (ด้วย Snap):
sudo snap install eclipse --classic
2. IntelliJ IDEA
- ใช้งานง่ายและฟีเจอร์ครบ
- Community Edition ฟรี, Professional เสียเงิน
- Auto-complete ดีมาก
วิธีติดตั้ง (ด้วย Snap):
sudo snap install intellij-idea-community --classic
3. Visual Studio Code (VS Code)
- Editor น้ำหนักเบา
- รองรับหลายภาษา รวมถึง Java (ต้องติดตั้ง Extension เพิ่ม)
- เหมาะกับผู้ที่เขียนหลายภาษา
วิธีติดตั้ง:
sudo snap install code --classic
ติดตั้ง Java Extension Pack เพิ่มเติมหลังจากนั้น
Build Tool (Maven / Gradle)
ติดตั้ง Maven:
sudo apt install maven
ติดตั้ง Gradle:
sudo apt install gradle
เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้จัดการโปรเจกต์ Java ได้อย่างมืออาชีพ
สรุป: Ubuntu รองรับการพัฒนา Java เต็มรูปแบบ
ใช้ IDE และ Build Tool เหล่านี้จะช่วยให้พัฒนาระบบ Java ได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับมืออาชีพ
10. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1. ควรเลือก OpenJDK หรือ Oracle JDK?
โดยทั่วไป OpenJDK เพียงพอแล้ว ทั้งฟรีและใช้เชิงพาณิชย์ได้ ส่วน Oracle JDK จะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการซัพพอร์ตหรือฟีเจอร์เฉพาะ (และอาจต้องซื้อไลเซนส์)
Q2. จะติดตั้ง Java เวอร์ชันล่าสุดบน Ubuntu ได้อย่างไร?
ถ้าใน repository ยังไม่มีเวอร์ชันล่าสุด ให้เพิ่ม PPA เช่น:
- sudo add-apt-repository ppa:openjdk-r/ppa
- หรือดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ Oracle แล้วติดตั้งเอง
แต่แนะนำให้ใช้ LTS version (OpenJDK 11 หรือ 17) เพื่อความเสถียร
Q3. ต้องตั้ง JAVA_HOME เสมอไหม?
ถ้าแค่รัน Java ไม่จำเป็นต้องตั้ง JAVA_HOME
แต่ถ้าพัฒนา, ใช้ IDE หรือ Build Tool ควรตั้งไว้
Q4. จะถอนการติดตั้ง Java ได้อย่างไร?
sudo apt remove openjdk-17-jdk
ถ้าติดตั้งหลายเวอร์ชัน ให้ลบแยกทีละเวอร์ชัน แล้วเช็คด้วย java -version
Q5. เปลี่ยนเวอร์ชัน Java แล้วยังไม่เปลี่ยนจริง ต้องทำอย่างไร?
sudo update-alternatives --config java
sudo update-alternatives --config javac
และอย่าลืมเปลี่ยน JAVA_HOME ตามด้วย
Q6. ติดตั้งด้วย GUI หรือ Terminal ดีกว่า?
ถ้าแค่ใช้งานทั่วไป GUI เพียงพอ แต่ถ้าต้องการควบคุมละเอียดหรือใช้หลายเวอร์ชัน ควรใช้ Terminal
สรุป: หากมีปัญหา ให้ย้อนกลับมาดูบทความนี้ได้เลย
Java เป็นภาษาที่มีข้อมูลสนับสนุนจำนวนมาก บทความนี้ครอบคลุมขั้นตอนและวิธีแก้ปัญหาพื้นฐานของ Java บน Ubuntu